ดูบอล

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก เกมเดือดในบอลโลกปี1954 การแข่งขันบอลโลก

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก เกมเดือดในบอลโลกปี1954 มันส์สุดเดือดในฟุตบอลโลก

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก เกมเดือดในบอลโลกปี1954 อีกหนึ่งเรื่องราวจาก ฟุตบอลโลกที่แฟนบอลและ คนชื่นชอบฟุตบอลห้ามพลาดเด็ดขาด กับเรื่องราวของการแข่งขัน ฟุตบอลโลกที่เดือดที่สุด

ที่เชื่อเลยว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ น่าจะไม่รู้และเคยทราบกันมาก่อน เกี่ยวกับเรื่องราว ของฟุตบอลโลกที่เดือดที่สุด ที่เดือดเป็นอย่างมาก และถูกจดจำใน โลกของฟุตบอลที่แฟนบอล ส่วนใหญ่อาจจะ ไม่เคยทราบมาก่อน

โดยเว็บของเรานั้นจะเป็น เว็บไซต์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ โลกฟุตบอลและ เรื่องราวครั้งนี้นั้นจะ เกี่ยวกับ การแข่งขันฟุตบอลโลกที่เดือด มากที่สุด ที่เดือดเป็นอย่างมาก และเป็นการแข่งขันสุดอัปยศ ในฟุตบอลโลก ดูบอล

โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดในการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี1954 มันคือสมรภูมิรบ ของสองคู่กรณี ระหว่าง ทีมชาติบราซิล และ ทีมชาติฮังการี ที่เป็นเหมือนกับ การแข่งขันกันมากกว่า เรื่องในสนามและฟุตบอล ที่เดือดเกินกีฬา

สำหรับขุนพลทัพเซเลเซา แม้พวกเขาจะก้าวถึงตำแหน่งแชมป์โลกในอีก 4ปีถัดมา แต่ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น บราซิลไม่เคย เป็นมหาอำนาจ ในโลกฟุตบอล หรือแม้แต่ใน ทวีปอเมริกาใต้ เนื่องจาก อุรุกวัย และ อาร์เจนตินา

ครองความยิ่งใหญ่ มาโดยตลอด โย ฮั น. เบรค เมื่อได้โอกาสลงเล่นฟุตบอล ในแดนศิวิไลซ์อย่าง ทวีปยุโรป ทีมชาติบราซิลจึง สร้างผลงานแบบ งามหน้า มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากสไตล์ การเล่นแบบโหด ดิบ เถื่อน

เหมือนกับการแข่งขัน ที่เกิดขึ้น ในฟุตบอลโลก1938 ที่พวกเขาลงแข่งขัน กับประเทศเชคโกสโลวาเกีย นักเตะบราซิลถูกไล่ออก สองราย เนื่องจากเล่น หนักเกินเหตุ ส่วนผู้เล่นเชโกสโลวาเกียที่อารมณ์ร้อนตาม

ถูกไล่ออกไปอีกหนึ่งคน แต่ที่แย่กว่านั้น คือมีนักเตะรวม 3คนจากทั้งสองฝ่าย ได้รับอาการบาดเจ็บจากการแข่งขันจน เล่นต่อไม่ได้ ซึ่ง 2 จาก 3 รายที่กล่าวมา คือ โอลดริช เนเยดลี่ และ ฟรานติเซ็ก พลานิชก้า สตาร์ของเชคโกสโลวาเกีย

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก เกมเดือดในบอลโลกปี1954 สงครามสุดเดือดในฟุตบอลโลก

โดยศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้น จัดเป็นการแข่งขันที่ เดือดเป็นอย่างมาก ในโลกฟุตบอลครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ ถึงขนาดทำให้นักเตะ หมดอนาคต จากแมตช์การแข่งขัน ในเกมบราซิลและ ฮังการีที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก

ซึ่งการแข่งขันในฟุตบอล เกมดังกล่าวถูกขนานนามว่า สงครามที่บอร์กโดซ์ ซึ่งสไตล์การเล่น แบบถึงลูกถึงคน ยังคงติดทีมชาติบราซิลมา จนถึงฟุตบอลโลก1954 แม้เวลานั้น พวกเขาจะเริ่มเล่นฟุตบอล เกมรุกบุกเร้าใจ แล้วก็ตาม

ส่วนฮังการี พวกเขาคือ มหาอำนาจลูกหนังตัวจริงในปี1954 ขุนพล เมจิก แมกยาร์ ปฏิวัติวงการฟุตบอลยุโรป ด้วยการเล่นฟุตบอลแบบลื่นไหล นักเตะเคลื่อน ที่ทดแทนกันได้ ในแต่ละตำแหน่ง แทงบอลออนไลน์

และผ่านบอล กับพื้นอย่างสวยงาม นี่คือแทคติกที่เชื่อกันว่า เป็นพื้นฐานของ โททัล ฟุตบอล สุดยอดรูปแบบ การเล่นแห่งโลกลูกหนัง ในยุคสมัยนั้นจนถึง ปัจจุบัน ทีมชาติฮังการีขณะนั้น ยังมีนักเตะฝีเท้าเก่งกาจที่สุดในโลก

อย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส เจ้าของสถิติ ลงเล่นในระดับสโมสร 530ยิง 514ประตู และลงเล่นให้ทีมชาติฮังการี 85นัด ระเบิด 84ประตู ความเก่งกาจของปุสกัส และแทคติกที่ยอดเยี่ยมของ กุสตาฟ เซเบส

ทำให้ฮังการีสามารถ คว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกเกมส์1952 และครองสถิติไม่แพ้ใคร 32นัด ก่อนลงแข่งขันฟุตบอลโลก1954 โดยหนึ่งในนั้น คือการบุกถล่มทีมชาติอังกฤษ 6-3 ถึงสนามเวมบลีย์ ในปี1953

ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่ทัพสิงโตคำราม สถิติโลกวิ่ง 100 เมตร แพ้คาบ้านแก่ทีมนอก สหราชอาณาจักร การพบกันระหว่าง บราซิล และ ฮังการี ในรอบก่อนรองชนะเลิศ จึงเป็นเกมฟุตบอล ที่น่าดูชม เพราะต่างเล่นเกมรุกดูสนุกกันทั้งคู่

แต่ใครจะไปคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในสนามวันค์ดอร์ฟสตาดิโอน กรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ในวันนั้นจะ ดุเดือดยิ่งกว่าสงคราม จากภาพที่โลกฟุตบอล ไม่เคยเห็นมาก่อน และเป็นแมตช์ที่เดือดที่สุด ในประวัติศาสตร์

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก

เกมสุดเดือดในฟุตบอลโลก เกมเดือดในบอลโลกปี1954 การแข่งขันสุดเดือดในแมตช์วันนั้น

โดยในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้น ทุกอย่างก็เหมือนการแข่งขันฟุตบอลโลกทั่วไป อี ริ ค เซ่น เพียงแต่ในนัดนั้น ปุสกัสแข้งดัง ไม่ได้ลงแข่งขัน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ นัดก่อนหน้า และจบครึ่งแรกที่ ฮังการีเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 2-1

โดยความเดือดมา เริ่มต้นขึ้น ในช่วงครึ่งหลัง เมื่อผู้ตัดสิน ชาวอังกฤษมอบ จุดโทษแก่ฮังการี ในนาที 60 ของการแข่งขัน หลัง ปินเญโร่ มิดฟิลด์ชาวบราซิล ทำแฮนด์บอลใน กรอบเขตโทษ การตัดสินครั้งนี้

สร้างความไม่พอใจ ให้แก่ตัวแทน จากอเมริกาใต้เป็นอย่างมาก บรรดาสตาฟโค้ช และผู้สื่อข่าวชาวบราซิล ต่างวิ่งกรูลงไป ในสนามเพื่อประท้วงคำตัดสิน สถานการณ์เริ่มวุ่นวายจนตำรวจ ฟุตบอลโลก1978

ต้องลงมาสู่สนามแข่งขัน เพื่อพาคนที่ไม่ เกี่ยวข้องออกจากสนาม เพื่อให้เกม กลับมาดำเนินต่ออีกครั้ง ด้วยสกอร์ที่ฮังการี หนีห่าง 3-1 หลัง มิฮาลี่ ลานโตส ซัดจุดโทษไม่พลาด เบิกสกอร์แซง

นับจากวินาทีนั้น การทำฟาวล์เกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ของสนาม ทํา ไม่ รัสเซีย ใช้ ROC ในโอลิมปิก ไม่ว่าจะเป็น แดนหน้า แดนหลัง กราบซ้าย กราบขวา หรือ กลางสนาม นักเตะฮังการี กับ นักเตะบราซิล เข้าปะทะกันราวกับไม่ได้ตั้งใจมาเล่นฟุตบอล

บรรยากาศของเกม เข้มข้นขึ้นไปอีก เมื่อ จูลินโญ่ กองหน้าทีมชาติบราซิล จัดการโซโล่เดี่ยวลากบอล ไปยิงเป็นประตูสุดสวย ช่วยให้ทัพเซเลเซา ตีตื้นเป็น 3-2 และด้วยกำลังใจที่ดีขึ้นมาก ทีมชาติบราซิลมีโอกาสแซงได้

แมตช์สุดเดือดที่เรื่องราวในสนามของแมตช์นั้น ไม่ได้จบแค่เพียงภายในสนาม

หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย การพบกันระหว่าง บราซิล สุ นิ สา ลี และ ฮังการี ในฟุตบอลโลก 1954 ประกอบด้วย 42 ฟรีคิก 4 คำเตือนจากผู้ตัดสิน 3 ใบแดง และ 2 จุดโทษ ซึ่งเป็นสถิติที่ยืนยันความรุนแรงของเกมดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แมตช์นี้ถูก เรียกว่าสงครามแห่งกรุงเบิร์น ไม่ได้มีแค่การปะทะ ระหว่างนักเตะในสนาม แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้น ในห้องแต่งตัว เมื่อนักเตะของทั้งสองทีมวางมวยกัน

แบบเละตุ้มเป๊ะ มีการหยิบสิ่งของรอบตัว ทั้ง รองเท้าสตั๊ด หรือ ขวดน้ำ มาเป็นอาวุธเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม นักเตะ สตาฟโค้ช ผู้ตัดสิน ช่างภาพ และผู้ที่ไม่มีส่วน เกี่ยวข้องกับ การแข่งขัน ต่างพัวพัน

กับเหตุการณ์ ตะลุมบอนครั้งนี้ ซึ่งท้ายที่สุด ไม่ได้หยุดลง ทีมชาติสเปน U23 แค่ในห้องแต่งตัว แต่ลามไปถึง นอกสนามแข่งขัน ที่เดือดกันเป็นอย่างมาก ที่หลายคนจากทั้ง 2ประเทศ ไม่ว่าจะบราซิล หรือแม้แต่ ประเทศฮังการีก็ตาม

เหตุการณ์ในวงการฟุบอลกับ ครั้งแรกกันเหตุการณ์สุดเดือดในโลกฟุตบอลครั้งแรก

วงการฟุตบอลไม่ เคยเจอความวุ่นวาย ขนาดนี้มาก่อน วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด จึงหนีไม่พ้น การลืมมันไปซะ ไม่มีใครถูกลงโทษ จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฮังการีโฟกัส ไปกับ การแข่งขันนัดถัดไปในฟุตบอลโลก1954

ส่วนบราซิลเดิน ทางกลับบ้าน โดยจดจำเกมนี้ ให้เป็นเพียง สุ นิ สา ลี ความพ่ายแพ้นัดหนึ่ง ในทัวร์นาเมนต์ แต่สำหรับแฟนบอล ที่ได้เป็นประจักษ์ พยานเหตุการณ์ในวันนั้น เรื่องราวของสงครามแห่งกรุงเบิร์น จะไม่มีวันถูกลืมเลือนอย่างแน่นอน

Scroll to Top